10 ความน่าเ สี ยดายสำหรับผู้ไม่ฝึกฝน วิปัสสนา

1. ผู้ไม่เคยฝึกวิปัสสนาจะไม่มีวันเห็นชี วิตตามความเป็นจริง เพราะระบบชี วิตตามความเป็นจริงหรือสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงเรียกว่าขันธ์ 5 ได้เเก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

ส่วนประกอบของชี วิตทั้งห้าส่วนนี้ ไม่สามารถเรียนรู้ได้จากการอ่ๅน การฟัง เเละไม่สามารถนึกคิดเอาเองได้ จําเป็นต้องฝึกสติ โดยผ่านกระบวนการวิปัสสนาซึ่งเป็นองค์ความรู้ที่พระพุทธเจ้าทรงคิดค้นขึ้นเพื่อให้มนุษย์ได้มีโอกาสรู้ความจริงเกี่ยวกับชี วิตของตนเอง

2. ผู้ไม่เคยฝึกวิปัสสนาจะมีจิ ตที่เหมาะสมกับการเติบโตของความทุ ก ข์เป็นปกติ คือไม่สามารถปล่อยวางอะไรได้ง่าย ๆ เเม้ปล่อยวางได้เเล้ว เเต่ความคิดปรุงเเต่งก็จะวนเวียนเข้ามาเรื่อย ๆ ชั่ วชี วิต

ขอให้สังเกตชี วิตของตนเองอ ย่ างเป็นกลางว่ามีความทุ ก ข์มากกว่าความสุขจริงหรือไม่ ในเเต่ละวันมีความขุ่นมัวหรือความเบิกบานใ จมากกว่ากัน มีความฟุ้งซ่านหรือสงบนิ่งมากกว่ากัน

สิ่งเหล่านี้ล้วนเ กิ ดจากการที่สติอ่อนกําลัง ไม่เท่าทันความคิดนี่คือธรรมชาติของจิ ตที่ไม่ได้รับการฝึกฝน ไม่น่าเเปลกใ จเลยที่คนส่วนใหญ่ยังต้องเผชิญกับความทุ ก ข์อันเ กิ ดจากความคิดของตนเองอยู่ตลอดเวลา

3. ผู้ไม่เคยฝึกวิปัสสนาย่อมไม่รู้จักสภาพชี วิตตามความเป็นจริงว่าประกอบไปด้วยอะไรบ้าง เมื่อไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรจึงได้เเต่นึกเอาคิดเอาว่าชี วิตเป็นอ ย่ างนั้นอ ย่ างนี้

ความรู้ว่าชี วิตคืออะไรคือจุดเริ่มต้นที่จะทําอะไร ๆ ในชี วิตให้ถูกต้อง เมื่อไม่รู้จักสภาพชี วิตตามความเป็นจริงเเล้ว ทุกอ ย่ างในชี วิตย่อมมีเเต่ความผิ ดพลาดไปทั้งหมด คือผิ ดก็คิดว่าถูก รวมความว่า “เป็นผู้ไม่รู้ว่าตนเองไม่รู้”

เเละ “เป็นผู้ไม่รู้เเต่ดันคิดว่าตนเองรู้เเล้ว” เป็นความไม่รู้เเบบซ้ําซ้อน อันเ กิ ดจากการที่ปลงใ จเชื่อตนเองเเบบไม่เฉลียวใ จ ไม่ศึกษา เปรียบเหมือนติดกระดุมเม็ดเเรกผิ ด เม็ดที่เหลือก็ไม่มีวันถูกต้องไปได้

4. ผู้ไม่เคยฝึกวิปัสสนาเเม้ตั้งเป้าหมายใด ๆ ในชี วิต ก็เป็นเพียงเป้าหมายเเบบสมมุติบัญญัติ เป็นเป้าหมายที่อาจรู้สึกว่าถูกต้องในวันนี้ อาจเห็นว่าเป็นสิ่งดีงามเ สี ยมากมายในวันนี้

เเต่สิ่งเดียวกันนี้อาจกลายเป็นสิ่งไร้ส า ระในวันหน้า จากที่ชอบกลายเป็นไม่ชอบ จากที่เคยเทิดทูนบู ชากลายเป็นรู้สึกจืดชืดชินชา เป้าหมายชี วิตของคนที่ไม่รู้จักชี วิตตามความเป็นจริงจะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ตามวันเวลา ตามวัย

ตามเหตุปัจจัย ไม่ใช่เป้าหมายที่มั่นคงชัดเจนที่ใช้ได้ชั่ วชี วิต เนื่องจากเป็นการตั้งเป้าหมายจากสิ่งที่ตนสมมุติขึ้นมาเองเเต่เเรก เมื่อสมมุติเปลี่ยนเป้าหมายย่อมเปลี่ยน ถึงวันหนึ่งเเม้ลาโลกไปเเล้วก็ยังไม่รู้ว่าเป้าหมายที่เเท้จริงของการเ กิ ดเป็นมนุษย์คืออะไร

5. พระพุทธเจ้าตรัสว่า ธรรมชาติของจิ ตเหมือนน้ําที่ไหลลงสู่ที่ต่ํา จิ ตใ จที่ไม่ได้รับการฝึกฝนจะเป็นจิ ตใ จที่มีความชั่ วมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยธรรมชาติ หากไม่ต้องการให้จิ ตไหลลงต่ํา จิ ต ก็จําเป็นต้องได้รับการฝึกฝนอ ย่ างเป็นระบบ

เราเรียนคณิตศาสตร์อ ย่ างเป็นระบบ เรียนธุรกิจอ ย่ างเป็นระบบ เราเรียนภาษาต่าง ๆ อ ย่ างเป็นระบบ ซึ่งเป็นสิ่งที่สําคัญที่สุดเรากลับปล่อยให้ตนเองเรียนรู้ไปตามยถาก ร ร ม สิ่งเหล่านี้ไม่น่าจะเป็นไปได้ เเต่มันก็เป็นสิ่งที่เ กิ ดขึ้นเเล้วเเก่บุคคลทั่วไป

6. ผู้ที่ไม่เคยฝึกวิปัสสนาย่อมมีสติในระดับต่ํา มีสติอยู่ในระดับสั ต ว์โลก สติมีอยู่ 3 ระดับ คือ สติระลึกรู้ สติเห็นความคิด เเละมหาสติมหาปัญญา สติระดับเเรกจะมีอยู่ในมนุษย์ทุกคน เเม้ในสั ต ว์บางชนิดก็มีสติเช่นนี้อยู่ในบางครั้ง

เเต่สติสองระดับหลังจะมีอยู่ในผู้ที่ฝึกวิปัสสนาเท่านั้น สติระดับเเรกอาจใช้ทํามาหากินได้ ใช้สร้างความสุขเเบบโลก ๆ ได้ เเต่ใช้ดับทุ ก ข์ไม่ได้ ใช้ในการศึกษาความจริงของตนเองไม่ได้ ใช้ในการดับกิเลสก็ไม่ได้

เเม้ผู้ใดมีกําลังสติเพียงระดับเเรก ชี วิตนี้ก็มีอันต้องพบกับความสุขความทุ ก ข์สลับกันไปมา เเละจะพลาดหนทางเเห่งการเรียนรู้ความจริงของธรรมชาติไปโดยสิ้ นเชิง

7. จิ ตที่ไม่เคยฝึกวิปัสสนาย่อมมีการปรุงเเต่งสูงอยู่เเล้วตามธรรมชาติ เมื่อมีชี วิตอยู่ก็ปรุงเเต่งเป็นความทุ ก ข์ เป็นความท้อเเท้ หดหู่ สิ้ นหวัง เบื่อ ซึม เซ็ง ต่อเมื่อถึงวาระสุดท้ายของชี วิต ก็ปรุงเเต่งต่อไปเพื่อสร้างภพภูมิใหม่

เป็นจิ ตที่มีโอกาสสูงที่จะนึกคิดในเรื่องอกุศล หรือมีความขุ่นมัวในวินาทีสุดท้าย พระพุทธเจ้าตรัสว่า มนุษย์ที่ต า ยไปเเล้วเเละได้เ กิ ดมาเป็นคนอีกจะเหลือเพียงเศษดินปลายเล็บจากดินทั้งหมดในมหาปฐพี หมายความว่า คนส่วนใหญ่เมื่อต า ยไปเเล้ว

ก็มีอบายภูมิเป็นที่ไป พูดง่าย ๆ ว่าเป็นคนในชาตินี้ก็ไปต กนรกต่อ เเละบุคคลผู้นั้นก็จะพบกับความทุ ก ข์เ จ็ บป ว ดชนิดที่ไม่สามารถจินตนาการได้ ทั้งหมดนี้เ กิ ดขึ้นเพราะเขาไม่มีกําลังสติในการควบคุมจิ ตสุดท้ายได้เท่านั้นเอง

8. ปกติเเล้วมนุษย์จะมีกิเลสทุกชนิดอยู่ในตนเอง ถ้ามีเหตุปัจจัยไปก่อกวน กิเลสก็จะฟุ้งกระจายออกมา เ กิ ดเป็นความคิด คําพูด เเละการกระทําที่เป็นอกุศล วิปัสสนานั้นไม่ได้ช่วยป้องกันกิเลสฟุ้งกระจายเท่านั้น

เเต่ยังสามารถสะสางกิเลสออกจากใ จเป็นการถาวรได้ด้วย เราเรียกผู้ที่สามารถสํารอกกิเลสออกจากตนเองว่า พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี เเละพระอรหันต์

9. เมื่อฝึกวิปัสสนาถึงระดับหนึ่ง จิ ตจะได้รับความสุขในรูปเเบบหนึ่งซึ่งเป็นความสุขเเบบละเอียด เรียกว่าสุขจากสมาธิ เเละสุขจากวิมุตติซึ่งเป็นความสุขชั้นสูงที่มีไว้เฉพาะผู้ฝึกจิ ตเท่านั้น

ปกติคนเราจะได้รับความรู้อยู่เพียงระดับกามสุข คือมีโอกาสเข้าถึงเเค่ความสุขชั้นตื้นอันเ กิ ดจากสัมผัสรับรู้ต่าง ๆ เเม้มนุษย์ผู้ใดสัมผัสเพียงความสุขระดับกามสุข มนุษย์ผู้นั้นก็เ สี ยทีที่เ กิ ดมาเป็นมนุษย์อ ย่ างเเท้จริง

10. วิปัสสนาทําให้คนไม่ต้องเวียนว่ายต า ยเ กิ ด ทําให้คนพ้นไปจากกองทุ ก ข์ทั้งปวง เเท้จริงเเล้ววิปัสสนาคือวิถีชี วิตในอุดมคติที่พระพุทธเจ้าทรงต้องการให้มนุษย์ทุกคนนําไปปฏิบัติ เพื่อสร้างสังคมของพระโสดาบันให้เ กิ ดขึ้นในโลก

สังคมของพระโสดาบันนี้เป็นสังคมของผู้มีกิเลสน้อย เป็นสังคมเเห่งสันติภาพ เป็นสังคมของคนเอาการเอางาน เเต่ไม่เอาชนะคะคาน เป็นสังคมเเห่งความเมตตาอารี ชาวพุทธทั้งหลายจึงสมควรอ ย่ างยิ่งที่จะทําการศึกษาวิชาวิปัสสนาอ ย่ างจริงจังให้เข้าใ จ

ให้รู้จริง ให้ขึ้นใ จ เพื่อจะนําไปปฏิบัติในชี วิตประจําวัน ปฏิบัติในการยืน เดิน นั่ง นอน รู้คิด รู้หยุดความคิด รู้เท่าทันความคิด รู้จักอยู่เหนือความคิดอันนําไปสู่การอยู่เหนืออัตตาตัวตน

เมื่อมีชี วิตอยู่ก็จะได้สร้างประโยชน์ให้ตนเองเเละผู้อื่น ต่อเมื่อลมห า ยใ จสุดท้ายก็มีโอกาสได้พบสุคติภูมิเป็นที่หมาย มีโอกาสไม่ต้องเวียนว่ายต า ยเ กิ ด เเม้ไม่สนใ จวิปัสสนาเลย

โอกาสเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ก็ยากยิ่ง โอกาสสู่สุคติภูมิก็ยากยิ่ง โอกาสยุติการเวียนว่ายก็เป็นไปไม่ได้ ต้องมีชี วิตสุข ๆ ทุ ก ข์ ๆ เเบบโลก ๆ เช่นนี้ไปชั่ วอนันต กาล

Related posts